1 นาทีในการอ่าน
คุตบะฮ์ : จงชุกุรให้มาก

โดย อาจารย์เกียรติ (ยะกู๊บ) ท้วมประถม (ร่อฮี่มะฮุ้ลลอฮ์)

ท่านพี่น้องที่มีศรัทธาอีหม่านและเลื่อมใสสนใจในการปฏิบัติความดีในประการต่างๆ ทั้งหลาย ขอให้เราเหลียวไปดูรอบบ้านรอบเมืองที่เราอาศัยอยู่ เราจะพบจะเห็นแต่มนุษย์ที่เขาเกิดมาไร้ศรัทธา ไม่มีอีหม่าน ไม่ได้เป็นมุสลิม หรือเราเหลียวไปดูมุสลิมประเภทที่ไม่สนใจในศาสนา อัตคัตศรัทธา มัสยิดไม่ชอบมา ฮัจยีไม่ชอบไป ละหมาดไม่ชอบทำ ถือศีลอดไม่ยอมปฏิบัติ สิ่งที่ศาสนาห้ามยังอดไม่ได้ สิ่งศาสนาใช้ยังทำไม่ไหว คนประเภทนี้มีมาก และนับวันจะมากขึ้นทุกที

นับเป็นความโปรดปรานจากองค์พระผู้อภิบาลที่ทรงเมตตาฮิดายะฮ์เปิดทางนำให้แก่เราแต่ละคน ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา เป็นคนรักในความดี มีศรัทธาอีหม่านต่อองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ถ้าพระองค์ไม่ทรงเปิดหัวใจให้ หรือถ้าพระองค์ไม่ทรงประทานทางนำให้ เราก็จะกลายเป็นมุสลิมเพียงชื่อ แต่ไม่มีวิญญาณของมุสลิม เหมือนคนตายที่ไม่มีลมหายใจ หรือมิฉะนั้นก็เกิดมาเป็นคนไร้ศรัทธา ห่างไกลศาสนา ไร้อนาคตในโลกหน้า

เรื่องของคนที่ไม่ศรัทธา ไม่เลื่อมใส คนอย่างนั้นคือ คนที่องค์พระผู้อภิบาลไม่ทรงมุ่งประสงค์ให้เขามาศรัทธา ไม่ว่าเราจะตักเตือน แนะนำ พร่ำสอน และชี้แนะหนทางให้แกเขาสักแค่ไหน ใจของเขาก็ไม่ยอมเปิดรับ เพราะองค์พระผู้อภิบาลไม่พึงประสงค์ให้เขาศรัทธา แม้คนที่เกิดมาในเผ่าพันธุ์ของมุสลิม หลายคนหันหลังให้กับศาสนา เอียงข้างให้กับศรัทธา เพราะหัวใจของเขาแคบตีบ ไม่สามารถขยายออกรับศรัทธาเอาไว้ได้

เรื่องอย่างนี้มีปรากฎให้เราได้ศึกษาจากพระคัมภีร์อัลกุรอานมากมาย เช่น ตอนที่พวกกาเฟรมักกะฮ์ไม่ยอมรับศรัทธาและต้องการขัดขวางการเผยแผ่ศาสนาของท่านนบี ศ็อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม ทุกวิถีทาง ได้บอกแก่ท่านนบี ศ็อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม ว่า

"หากท่านเป็นพระศาสนทูตจากองค์พระผู้อภิบาลจริงๆ แล้ว ก็จงแสดงอภินิหารให้ปรากฎแก่พวกเราซิ ลองแสดงให้ดู ให้เทือกเขาที่ห้อมล้อมนครมักกะห์อยู่นี้ขยับเขยื้อนออกไป หรือไม่ก็ให้นครมักกะห์กลายเป็นท้องถิ่นที่ลุ่มน้ำ เป็นตาน้ำให้ดูสิ พวกเราจะได้หาต้นไม้มาปลูก แล้วก็จงให้บรรพบุรุษของพวกเราฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาบอกแก่พวกเราว่า ท่านเป็นศาสนทูตจริงๆ พวกเราจึงจะยอมเชื่อ"

องค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) จึงประทานโองการมาว่า ซึ่งมีใจความว่า 

"ต่อให้ภูเขาขยับเขยื้อนได้ หรือแผ่นดินแยกออกได้ หรือคนของตายแล้ว จะถูกให้คืนชีพมาเจรจาได้ เพราะอานุภาพจากอัลกุรอานก็เอาเถิด (พวกเหล่านั้นก็จะไม่ยอมเชื่ออยู่ดี) แต่งานทั้งสิ้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ (หาใช่เป็นใครอื่นไม่)"

ซูเราะฮ์อัรเราะอฺด์ : 31

เมื่อองค์พระผู้อภิบาลทรงตรัสให้เราทราบไว้อย่างนี้ เราก็มั่นใจได้ว่า ตัวเราที่มีเลื่อมใสศรัทธา รักจะทำแต่ความดีตามที่ศาสนาใช้ เกลียดควาามชั่วที่ศาสนาห้าม นั่นเป็นเพราะตัวเราได้รับพระเมตตาจากองค์พระผู้อภิบาลทรงเปิดหัวใจให้ ทรงประสงค์ที่จะให้เราเป็นมุสลิมผู้ที่มีศรัทธา ตำแหน่งอย่างนี้เราจะต้องรักษาเอาไว้เหนือชีวิต

และเมื่อเหล่าสาวกของท่านนบี ศ็อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม อยากให้มีสัญญาณลงมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ตามที่พวกกาเฟรมักกะห์ขอร้อง เพราะนึกว่าพวกนั้นอยากจะศรัทธา องค์อัลลอฮ์ ซ.บ. จึงได้ลงโองการมาอีกว่า

"ไม่เป็นการสมควรเลยที่เหล่าสาวก ผู้ที่มีศรัทธาจะลืมไปว่า กิจการทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะห์ ถ้าอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์แล้วไซร้ พระองค์ย่อมชี้นำมวลมนุษย์ทั้งสิ้นมิให้เหลือไว้เป็นผู้ที่ไร้ศรัทธาเลยจนคนเดียว"

ซูเราะฮ์อัรเราะอฺด์ : 31

จากอายะห์นี้ เราแต่ละคนก็ย่อมจะทราบและมั่นใจได้ว่า การที่มนุษย์ในโลกนี้ ยังมีผู้ไร้ศรัทธาอีกมากมาย นั่นแสดงว่าอัลเลาะห์พึงประสงค์ให้เป็นไปเช่นนั้น

แต่ตัวเรา คนในครอบครัวของเรา ลูกเมียของเรา พี่น้องวงศ์ญาติเรา องค์อัลเลาะห์ ซ.บ. ทรงเมตตาให้เรามีอีหม่าน มีศรัทธา มีความยำเกรง รักแต่จะทำในเรื่องที่ศาสนาใช้ และตั้งใจที่จะออกห่างจากเรื่องที่ศาสนาห้าม เรื่องนี้นับเป็นโชคลาภ เป็นพระเมตตาที่ทรงกำหนด ทรงคัดเลือกให้เราเป็นมุอฺมิน เป็นผู้ศรัทธา ตำแหน่งนี้จึงเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีตำแหน่งใดจะเทียบเท่า

ปัญหาอยู่ที่ว่า เราแต่ละคนจะรักษาหน้าที่ ปกป้องความเป็นมุสลิิมของตัวเราไปได้จนกว่าจะตายหรือไม่ เพราะเราเคยรู้ เคยทราบว่า มีมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่ดำเนินชีวิตออกนอกทางของศาสนาเมื่อถึงคราวที่ร่ำรวยเงินทองไหลมาเทมา ทั้งๆ ที่เมื่อยามยากจนเขาทำตัวดีมีอีหม่านศรัทธาดี รักการละหมาด ชอบไปมัสยิด บางคนตอนหนุ่มๆ สาวๆ ดำเนินชีวิตดี แต่พอแก่ตัวลงกลับดำเนินชีวิตตรงกันข้าม เคยเข้าสุเหร่า มาละหมาดวันศุกร์ แต่ตอนแก่กลับไปเข้าสนามม้า เข้าบ่อนไก่และสนามมวย ลืมหนทางไปมัสยิด ฉะนั้นขอให้เราหาทางปกป้องอย่าให้กลายเป็นมุสลิมประเภทนั้นเลย

อ้างอิง

หนังสือคุตบะฮ์วันศุกร์ โดย ฮัจยียะก๊บ ท้วมประถม เล่ม 6 หน้า 1-6