5 นาทีในการอ่าน
การนิเทศการศึกษาตามมโนทัศน์อิสลาม

Educational Supervision From Islamic Perspective

มุฮัมมัดอาดัม (เสรี) พวงมณี

บทนำ     

การศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาเพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคลไปสู่คุณลักษณะที่พึงประสงค์ กระบวนการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่มนุษย์ลืมตามาดูโลกจนกระทั่งเสียชีวิต มีทั้งรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยผลผลิตที่ได้จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ จากตนเอง สู่ครอบครัว ชุมชน ประเทศ และโลก การที่สังคมหนึ่งๆ มีความเจริญและพัฒนา ประชาชนอยู่ดีมีสุข ย่อมสะท้อนถึงความสำเร็จในการจัดการศึกษาเพื่อผลิตพลเมืองที่มีคุณภาพ และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม (นิเลาะ แวอุเซ็ง, 2559 : 5) การศึกษาในอิสลามมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การอบรม สั่งสอน และขัดเกลาให้ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม สามารถดำรงตนอยู่ในครรลองของอิสลามโดยการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน เกิดมรรคผลต่อตนเองและสังคม โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือ การบรรลุความสำเร็จในโลกนี้ โดยการเป็นผู้ศรัทธาที่สมบูรณ์ มีความรู้และทักษะในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข และความสำเร็จในโลกหน้า โดยได้รับการตอบแทนด้วยสวรรค์ (นิเลาะ แวอุเซ็ง, 2559 : 127) ดังนั้นจึงเป็นอมานะฮฺ (ความรับผิดชอบ) ของผู้บริหารสถานศึกษาที่จะต้องให้ความสำคัญต่อการบริหารการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารงานวิชาการ ด้วยการนิเทศการศึกษาอย่างมีคุณภาพ เพราะในโลกหน้าเขาจะต้องได้รับพิพากษา ณ ศาลของอัลลอฮฺ ตะอาลา ดังปรากฎในคัมภีร์อัลกุรอานไว้ว่า

 "ثُمَّ لَتُسْأَلُنَّ يَوْمَئِذٍ عَنِ النَّعِيمِ" (سورة التكاثر : 8) 

ความว่า “แล้วในวันนั้นพวกเจ้าจะถูกสอบถามเกี่ยวกับความโปรดปรานที่ได้รับ (ในโลกดุนยา)”(ซูเราะฮฺอัตตะกาษุร : 8) 

ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัร ได้รายงานว่า ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า

 "أَلَاَ كُلُّكُمْ رَاعٍ ، وَكُلُّكُمْ مَسؤولٌ عَنْ رَعِيَّتِهِ ، ..." (متفق عليه) 

ความว่า “พึงทราบเถิด พวกท่านทุกคนคือผู้รับผิดชอบ และพวกท่านทุกคนจะต้องถูกสอบถามเกี่ยวกับผู้อยู่ภายใต้การดูแลรับผิดชอบ ” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮิ์)[1] 

และท่านนบีมุฮัมมัด ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม ได้เตือนไว้ว่า

 "مَا مِنْ عَبْدٍ يَسْتَرْعِيهِ اللهُ رَعِيَّةً، يَمُوتُ يَوْمَ يَمُوتُ وَهُوَ غَاشٌّ لِرَعِيَّتِهِ، إِلَّا حَرَّمَ اللهُ عَلَيْهِ الْجَنَّةَ" أخرجه البخاري (7150) ، ومسلم (142) 

ความว่า “บ่าวคนใดก็ตามที่อัลลอฮฺได้มอบหน้าที่ให้เขาดูแลคนกลุ่มหนึ่ง เขาได้เสียชีวิตในสภาพที่ทุจริตต่อบุคคลเหล่านั้น แน่นอนอัลลอฮฺย่อมทรงหวงห้ามสวรรค์แก่เขา” (บุคอรีย์ : 7150 , และมุสลิม 142 นอกจากนี้ อิสลามยังส่งเสริมให้บริหารการศึกษาโดยมุ่งสู่การพัฒนาสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศอีกด้วย ท่านนบีมุฮัมมัด ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม ได้กล่าวว่า

  "إِنّ اللَّهَ تَعَالى يُحِبُّ إِذَا عَمِلَ أَحَدُكُمْ عَمَلاً أَنْ يُتْقِنَهُ" (أخرجه البيهقي). 

ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักเมื่อผู้หนึ่งจากพวกท่านปฏิบัติภารกิจใดๆ แล้วเขากระทำมันอย่างประณีต” (บัยฮะกีย์)                 

ความหมายของการนิเทศการศึกษา                

ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ (2556 : 89) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง การที่ผู้นิเทศใช้ความพยายามด้วยเทคนิควิธีและกระบวนการต่างๆ ที่จะกระตุ้นยั่วยุ เร่งเร้า ให้ผู้รับการนิเทศได้ปรับปรุงและพัฒนาการปฏิบัติงานการจัดการเรียนการสอนให้เกิดคุณภาพสูงสุดด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ                 วรรณพร สุขอนันต์ (2550 : 17) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานร่วมกันในบรรยากาศแห่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ เพื่อปรับปรุงคุณภาพการจัดการศึกษา ให้เกิดประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผลสูงสุดแก่ผู้เรียน                 นูรีนา บือราเฮง (2552 : 15) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือครูและบุคลกรทางการศึกษา ร่วมคิดร่วมทำ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และร่วมแก้ไขปัญหาระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ทั้งนี้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้เป็นไปตามเป้าหมายของหลักสูตร                 สาย นพเทาว์ (2554 : 14)  กล่าวว่า  การนิเทศการศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของการบริหาร ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศ ครูผู้สอน ผู้บริหารบุคลากรทางการศึกษาอื่นๆ เพื่อกระตุ้น ยั่วยุท้าทายและส่งเสริมให้มีการปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและทันสมัยอยู่เสมอ ทั้งนี้โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่คุณภาพการศึกษาตามที่กำหนดไว้ โสภณ ทองจิตร (2554 : 13) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง การทำงานร่วมกันที่เป็นขั้นเป็นตอนของครูและบุคลากรทางการศึกษาในการพัฒนาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของครูให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในอันจะส่งผลไปถึงคุณภาพของการจัดการศึกษา เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและส่งเสริมพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของนักเรียนได้อย่างเต็มศักยภาพตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการ สรุปได้ว่า การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศที่จะช่วยเหลือให้คำแนะนำครูผู้รับการนิเทศและบุคลากรทางการศึกษาให้พัฒนาการเรียนการสอนและการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความงอกงามทางวิชาชีพซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้เป็นไปตามเป้าหมายของการศึกษา 

การนิเทศการศึกษาตามมโนทัศน์อิสลาม                
ในบริบทของการบริหารและการจัดการการศึกษาอิสลามนั้น การนิเทศการศึกษาถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญของผู้บริหาร ต่อการพัฒนางานวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้มีคุณภาพ อันจะนำสถานศึกษาไปสู่ความเป็นเลิศ การนิเทศการศึกษาในอิสลามวางอยู่บนหลักการต่อไปนี้ 

  • ตะฟักกุด (ติดตามสอดส่อง)
  • ชูรอ (ประชุมปรึกษาหารือ)
  • นะศีหะฮ์ (ตักเตือนกันอย่างกัลยาณมิตร)
  • มุอาว่ะนะฮ์ (การร่วมมือกันในสิ่งที่เป็นความดี)

 1. ตะฟักกุด (ติดตามสอดส่อง)                

ตะฟักกุด (ติดตามสอดส่อง) เป็นเรื่องของการห่วงใยต่อสภาพความเป็นอยู่ คอยสอบถาม ติดตามสอดส่องผลการปฏิบัติงาน เพื่อให้ได้ข้อมูลสะท้อนกลับ และนำมาประเมินผลเพื่อให้การช่วยเหลือ ร่วมมือแก้ไขปัญหา การปรับปรุงหรือการพัฒนา ซึ่งถือเป็นหลักสำคัญประการหนึ่งในการบริหาร                 
หลักตะฟักกุดในอัลฮะดีษ                 เรื่องนี้ปรากฎอยู่ในวิถีปฏิบัติของท่านนบีมุฮัมมัด ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม ดังมีบันทึกฮะดีษไว้ว่า
عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ ، أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، افْتَقَدَ ثَابِتَ بْنَ قَيْسٍ ، فَقَالَ رَجُلٌ : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، أَنَا أَعْلَمُ لَكَ عِلْمَهُ ، فَأَتَاهُ فَوَجَدَهُ جَالِسًا فِي بَيْتِهِ ، مُنَكِّسًا رَأْسَهُ ، فَقَالَ : مَا شَأْنُكَ ؟ فَقَالَ : شَرٌّ ، كَانَ يَرْفَعُ صَوْتَهُ فَوْقَ صَوْتِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَقَدْ حَبِطَ عَمَلُهُ ، وَهُوَ مِنْ أَهْلِ النَّارِ ، فَأَتَى الرَّجُلُ فَأَخْبَرَهُ أَنَّهُ قَالَ كَذَا وَكَذَا ، فَقَالَ مُوسَى بْنُ أَنَسٍ : فَرَجَعَ المَرَّةَ الآخِرَةَ بِبِشَارَةٍ عَظِيمَةٍ ، فَقَالَ : اذْهَبْ إِلَيْهِ ، فَقُلْ لَهُ : إِنَّكَ لَسْتَ مِنْ أَهْلِ النَّارِ ، وَلَكِنْ مِنْ أَهْلِ الجَنَّةِ (أخرجه البخاري وغيره). 

ความว่า รายงานจากท่านอนัส อิบนุ มาลิก ร่อฏิยั่ลลอฮู่อันฮู่ แท้จริงท่านนบี ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม ได้ติดตามสอดส่องท่านษาบิต อิบนุ กอยซฺ ต่อมามีชายคนหนึ่งกล่าวว่า โอ้ท่านศาสนทูต ข้าพเจ้าขออาสาไปติดตามข่าวคราวของเขา ชายผู้นั้นจึงหาเขาและพบว่าเขานั่งอยู่ที่บ้านในสภาพนั่งก้มศีรษะอยู่ในบ้าน จึงถามเขาว่า “ท่านมีเรื่องอะไร?” เขาตอบว่า “เรื่องร้าย” เขาเคยพูดเสียงดังใส่ท่านนบี ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม การงานของเขาจึงสูญเปล่า เขาเป็นคนหนึ่งจากชาวนรก ชายคนนั้นจึงกลับมาหาท่านนบีและรายงานให้ท่านทราบว่า เขาพูดเช่นนั้นเช่นนี้ ท่านมูซา อิบนุ อนัส[2] ได้เล่าว่า ชายคนดังกล่าวจึงได้ไปหาเขาอีกครั้งหนึ่งพร้อมด้วยข่าวดีอันยิ่งใหญ่ ข่าวดีนั้นคือ ท่านนบีได้สั่งแก่ชายผู้นั้นว่า ท่านจงไปหาเขาและจงบอกแก่เขาว่า “แท้จริงท่านมิใช่เป็นคนหนึ่งจากชาวนรก แต่ทว่าท่านเป็นคนหนึ่งจากบรรดาชาวสวรรค์” (บันทึกโดยบุคอรีย์และท่านอื่นๆ)[3]

 عَنْ أَبِى هُرَيْرَةَ - رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ -: " أَنَّ امرأةً سوداء كانت تَقُمُّ الْمَسْجِدَ ، فَفَقَدَهَا رَسُوْلُ اللهِ - صلَّى الله عليه وسلَّم - فسأل عنها، فقالوا : مَاتَتْ ، قال: "أفلا كنتم آذنتموني؟" ، قال: فكأنهم صَغَّروا أمرها، فقال: "دُلُّوني على قبرها" ، فدلُّوه فصلَّى عليها. (أخرجه البخاري ومسلم) 

รายงานจากท่านอบีฮุรอยเราะฮฺ  ร่อฏิยั่ลลอฮู่อันฮู่ แท้จริงสตรีผิวดำนางหนึ่งเคยกวาดมัสยิดอยู่เป็นประจำ ท่านนบีได้ติดตามสอดส่องนางและได้สอบถามเกี่ยวกับตัวนาง พวกเขากล่าวว่า “นางได้เสียชีวิตแล้ว” ท่านนบีกล่าวว่า เพราะเหตุใดพวกท่านจึงไม่บอกให้ข้าพเจ้าทราบ” ผู้รายงานฮะดีษกล่าวว่า คล้ายกับว่าพวกเขาเห็นว่าเรื่องราวของนางเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอะไรนัก ท่านนบีจึงบอกพวกเขาว่า “พวกท่านจงบอกข้าพเจ้าเถิดว่าหลุมฝังศพของนางอยู่ทีใด” เมื่อพวกเขาได้บอกแก่ท่าน ท่านจึงได้ละหมาดให้แก่นาง” (บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)[4]  

การประยุกต์ใช้หลักตะฟักกุด (ติดตามสอดส่อง) ในการนิเทศการศึกษา 

ผู้บริหาร หัวหน้าฝ่ายงานวิชาการ หัวหน้ากลุ่มสาระและผู้รับผิดชอบจะต้องให้ความสำคัญต่อการติดตามสอดส่องสภาพการจัดการเรียนการสอนของครู การนำเสนอบทเรียนเป็นอย่างไร การควบคุมดูแลชั้นเรียนมีปัญหาหรือไม่อย่างไร การสอนของครูเกิดขึ้นแล้ว การเรียนรู้ของของนักเรียนเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ อย่างไร อะไรคือจุดเด่นของครูที่ควรต่อยอดพัฒนา และอะไรคือข้อควรปรับปรุงของครู ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลในการช่วยเหลือ ปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ได้วางไว้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นเลิศทางด้านวิชาการ 

2. ชูรอ (ประชุมปรึกษาหารือ) 

ชูรอ (ประชุมปรึกษาหารือ) หลักการนี้ถือเป็นรากฐานของการบริหารและการปกครองในอิสลาม เป็นหลักการบริหารที่สำคัญที่ปฏิบัติโดยท่านนบี ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม บรรดาเศาะฮาบะฮฺ และชนรุ่นหลัง หลักชูรอเป็นเครื่องมือของผู้บริหารที่จะนำมาซึ่งการมีส่วนร่วมของสมาชิกในองค์กร เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความสมานฉันท์ เกิดความรักใคร่เป็นหนึ่งเดียว เกิดความคิดสร้างสรรค์และวิธีการใหม่ๆ และเป็นโอกาสในการติดตามงานที่ได้มอบหมาย อีกทั้งเป็นการกระตุ้นให้คณะทำงานเกิดความกระตือรือร้นในการทำงานอีกด้วย    

หลักชูรอในอัลกุรอานและอัลฮะดีษ

 قال تعالى : "... إِنْ أَرَادَا فِصَالًا عَن تَرَاضٍ مِّنْهُمَا وَتَشَاوُرٍ فَلَا جُنَاحَ عَلَيْهِمَا..." (سورة البقرة : 233) 

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสมีใจความว่า “... แต่ถ้าทั้งสองต้องการหย่านม อันเกิดจากความพอใจ และการปรึกษาหารือกันจากทั้งสองคนแล้ว ก็ไม่มีบาปใดๆ แก่เขาทั้งสอง ...” (ซูเราะฮฺอัลบะก่อเราะฮฺ : 233)

 قال تعالى : "فَبِمَا رَحْمَةٍ مِّنَ اللَّـهِ لِنتَ لَهُمْ ۖ وَلَوْ كُنتَ فَظًّا غَلِيظَ الْقَلْبِ لَانفَضُّوا مِنْ حَوْلِكَ ۖ فَاعْفُ عَنْهُمْ وَاسْتَغْفِرْ لَهُمْ وَشَاوِرْهُمْ فِي الْأَمْرِ ۖ فَإِذَا عَزَمْتَ فَتَوَكَّلْ عَلَى اللَّـهِ ۚ إِنَّ اللَّـهَ يُحِبُّ الْمُتَوَكِّلِينَ" (سورة آل عمران : 159) 

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสมีใจความว่า “เนื่องด้วยความเมตตาจากอัลลอฮ์นั่นเอง เจ้า(มุฮัมมัด) จึงได้สุภาพอ่อนโยนแก่พวกเขา และถ้าหากเจ้าเป็นผู้ประพฤติหยาบช้า และมีใจแข็งกระด้างแล้วไซร้ แน่นอนพวกเขาก็ย่อมแยกตัวออกไปจากรอบ ๆ เจ้ากันแล้ว ดังนั้นจงอภัยให้แก่พวกเขาเถิด และจงขออภัยให้แก่พวกเขาด้วย และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลาย ครั้นเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว ก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักใคร่ผู้มอบหมายทั้งหลาย” (ซูเราะฮฺอาล อิมรอน : 159)

 قال تعالى : "وَالَّذِينَ اسْتَجَابُوا لِرَبِّهِمْ وَأَقَامُوا الصَّلَاةَ وَأَمْرُهُمْ شُورَىٰ بَيْنَهُمْ وَمِمَّا رَزَقْنَاهُمْ يُنفِقُونَ" 

(سورة الشورى : 38) 

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสมีใจความว่า “และบรรดาผู้ตอบรับต่อพระเจ้าของพวกเขาและดำรงละหมาด และกิจการของพวกเขามีการปรึกษาหารือระหว่างพวกเขาและเขาบริจาคสิ่งที่เราได้ให้เครื่องปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา” (ซุเราะฮฺอัชชูรอ : 38)

 عن أبي هُريرة- رضي الله عنه - قال: "مَا رأيتُ أحدًا قطُّ كان أكثرَ مشورةً لأصحابِه من رسول الله- صلَّى الله عليه وسلَّم"؛ (رواه الشافعي). 

รายงานจากท่านอบีฮู่รอยเราะฮฺ ร่อฎิยั่ลลอฮู่อันฮู่ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นผู้ใดนำหลักชูรอมาใช้กับบรรดาสาวกของท่านมากไปกว่าท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม เลย” (บันทึกโดยอัชชาฟิอีย์) 

การประยุกต์ใช้หลักชูรอ (การประชุมปรึกษาหารือ) ในการนิเทศการศึกษา 

ฝ่ายบริหารควรแสดงออกถึงความมุ่งมั่นจริงจังต่อการนิเทศการศึกษา โดยการนำเอาหลักชูรอ (การประชุมปรึกษาหารือ) มาใช้ในทุกฝ่ายของสถานศึกษา เริ่มจากการประชุมในระดับโรงเรียน ผู้บริหารหรือหัวหน้าฝ่ายวิชาการชี้แจงนโยบาย เป้าหมาย ขอความคิดเห็นและขอความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันวางแผน ร่วมกันออกแบบการนิเทศ เกณฑ์การนิเทศ ความถี่ในการนิเทศ เครื่องมือและการใช้เครื่องมือในการนิเทศ หลังจากนั้นให้แต่ละกลุ่มสาระจัดประชุมกลุ่มสาระเพื่อทำความเข้าใจและขอความคิดเห็นจากครูในกลุ่มสาระ หลังจากนั้นให้มีการปรึกษาหารือกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ทั้งก่อนและหลังการนิเทศ เพื่อหาแนวทางและร่วมกันแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการจัดการเรียนการสอน 

3. นะศีหะฮ์ (ตักเตือนกันอย่างกัลยาณมิตร)                     

นิเลาะ แวอุเซ็ง (2559 : 5) ได้ให้ความหมายของ นะศีหะฮ์ ว่าหมายถึง การตักเตือนซึ่งกันและกันโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บุคคลปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากที่ไม่ดีเป็นดี การตักเตือนเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบศาสนา                 อัลญุรญานีย์ ให้ความหมาย นะศีหะฮ์ ว่าหมายถึง การเรียกร้องเชิญชวนไปสู่การปรับปรุงพัฒนา และการยับยั้งไม่ให้สู่ความเสียหาย ( https://www.dorar.net/akhlaq

) ปทานุกรมมุอฺญัม อัลมะอานี อัลญามิอ์ (https://www.almaany.com/ar/dict/ar-ar) ให้

ความหมายของ นะศีหะฮ์ ไว้ว่า หมายถึง การแสดงความคิดเห็นด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อเรียกร้องเชิญชวนไปสู่ความดี                 กล่าวได้ว่า นะศีหะฮ์ (การตักเตือนกันอย่างกัลยาณมิตร) หมายถึง การตักเตือนซึ่งกันและกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อเรียกร้องเชิญชวนไปสู่ความดี การปรับปรุงพัฒนาและยับยั้งเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหาย                 

หลักนะศีหะฮ์ในอัลกุรอานและอัลฮะดีษ  
อัลกุรอานได้เล่าคำพูดของท่านนบีนูห์ อะลัยฮิสลาม ไว้ว่า
 قال تعالى : "أُبَلِّغُكُمْ رِسَالَاتِ رَبِّي وَأَنصَحُ لَكُمْ وَأَعْلَمُ مِنَ اللَّـهِ مَا لَا تَعْلَمُونَ" (سورة الأعراف : 62) 

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสมีใจความว่า “โดยที่ฉันจะประกาศแก่พวกท่าน ซึ่งบรรดาสารแห่งพระเจ้าของฉัน และฉันจะชี้แจงและนำให้แก่พวกท่าน และฉันรู้จากอัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้” (ซูเราะฮฺอัลอะอฺรอฟ : 62)                 อบูญะอฺฟัร อธิบายไว้ในหนังสือตัฟซีรฏ็อบบะรีย์ ว่า นี่เป็นคำบอกเล่าจากอัลลอฮฺ ตะอาลา เกี่ยวกับการตักเตือนของท่นนบีนูห์ โดยท่านนบีนูห์ได้กล่าวแก่กลุ่มชนของท่านที่ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา และไม่ยอมรับในตัวท่านว่า แท้จริงข้าพเจ้าเป็นศาสนทูตจากผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามายังพวกท่าน ข้าพเจ้าเผยแผ่บรรดาสาส์นของผู้ทรงอภิบาลของข้าพเจ้าแก่พวกท่าน และข้าพเจ้าตักเตือน (นะศีหะฮ์) พวกท่านด้วยความจริงใจเกี่ยวกับการลงโทษของพระองค์ต่อการที่พวกท่านปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ ไม่ยอมรับต่อข้าพเจ้าและผลักไสคำตักเตือน (นะศีหะฮ์) ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้จากอัลลอฮฺว่าแท้จริงการลงโทษของพระองค์จะไม่ถูกละเลยจากบรรดากลุ่มชนผู้ประพฤติผิด[5]

 عَنْ تَمِيمٍ الدَّارِيِّ أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، قَالَ : "الدِّينُ النَّصِيحَةُ" ، قُلْنَا : لِمَنْ ؟ ، قَالَ : "لِلَّهِ وَلِكِتَابِهِ وَلِرَسُولِهِ وَلِأَئِمَّةِ الْمُسْلِمِينَ وَعَامَّتِهِمْ" (رواه مسلم) รายงานจากท่านตะมีม อัดดารีย์ แท้จริงท่านนบี ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม กล่าวว่า “ศาสนาคือการตักเตือนกัน” พวกเขาจึงถามว่า เพื่อใคร? ท่านนบี ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม กล่าวว่า “เพื่ออัลลอฮฺ เพื่อคัมภีร์ของพระองค์ เพื่อศาสนทูตของพระองค์ เพื่อบรรดาผู้นำของบรรดามุสลิม และสาธารณะชนชาวมุสลิม” (บันทึกโดยมุสลิม)[6] عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : "حَقُّ الْمُسْلِمِ عَلَى الْمُسْلِمِ سِتٌّ قِيلَ : مَا هُنَّ يَا رَسُولَ اللَّهِ؟ ، قَالَ : إِذَا لَقِيتَهُ فَسَلِّمْ عَلَيْهِ ، وَإِذَا دَعَاكَ فَأَجِبْهُ ، وَإِذَا اسْتَنْصَحَكَ فَانْصَحْ لَهُ ، وَإِذَا عَطَسَ فَحَمِدَ اللَّهَ فَسَمِّتْهُ ، وَإِذَا مَرِضَ فَعُدْهُ وَإِذَا مَاتَ فَاتَّبِعْهُ" (رواه مسلم) 

รายงานจากท่านอบุฮุรอยเราะฮฺ แท้จริงท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม กล่าวว่า “สิทธิของมุสลิมเหนือมุสลิมมี 6 ประการ” มีผู้ถามท่านว่า มันคืออะไรหรือ โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ เมื่อท่านพบเขา ท่านจงกล่าวสลามแก่เขา เมื่อเขาเชิญท่านไปรับประทานอาหาร ท่านจงตอบคำเชิญของเขา เมื่อเขาขอให้ท่านตักเตือน ท่านจงให้คำตักเตือนเขา เมื่อเขาจามและกล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺ ท่านจงอวยพรตอบรับคำสรรเสริญของเขา เมื่อเขาป่วย ท่านจงไปเยี่ยมเขา และเมื่อเขาเสียชีวิต ท่านจงไปส่งศพของเขา” (บันทึกโดยมุสลิม)[7] 

การประยุกต์ใช้หลักนะศีหะฮ์ (ตักเตือนกันอย่างกัลยาณมิตร) ในการนิเทศการศึกษา
นิเลาะ แวอุเซ็ง (2559 : 214) ได้กล่าวถึงการประยุกต์ใช้หลักนะศีหะฮ์ในการบริหารการศึกษาอิสลามไว้ว่า สามารถนำไปใช้ในทุกกระบวนการของการดำเนินงานของสถานศึกษาหรือหน่วยงานทางการศึกษา เพราะ
นะศีหะฮ์ เป็นการส่งข้อมูลป้อนกลับในเชิงสร้างสรรค์และผูกมัดกับสำนึกหรือความรู้สึกที่มีฐานที่มาจากคำสอนอิสลาม อีกทั้งนะศีหะฮ์ยังเป็นการหนุนเสริมให้จิตวิญญาณของบุคคลมีความแข็งแกร่งและมีพลังในการปฏิบัติงาน ดังนั้นผู้บริหารจำเป็นต้องให้ความสำคัญต่อหลักการดังกล่าวนี้ และต้องเป็นแบบอย่างในการนำและพัฒนาวัฒนธรรมของนะศีหะฮ์ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน 

4. มุอาว่ะนะฮ์ (การร่วมมือกันในสิ่งที่เป็นความดี)                       

มุอาว่ะนะฮ์ (การร่วมมือกันในสิ่งที่เป็นความดี) หลักการนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อการบริหารและการปกครองในอิสลามเป็นอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องนำหลักการนี้มาใช้ในทุกภาคส่วนและทุกระดับของการบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริหารการศึกษา หลักการนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญมาก ทั้งในด้านการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ ร่วมกันวิเคราะห์ ประเมิน ร่วมแก้ไข ปรับปรุงและพัฒนา 

หลักมุอาว่ะนะฮ์ในอัลกุรอานและอัลฮะดีษ                 

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า

 قال تعالى : "... وَتَعَاوَنُوا عَلَى الْبِرِّ وَالتَّقْوَىٰ ۖ ..." (سورة المائدة : 5) 

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสไว้มีใจความว่า “... และพวกจงช่วยเหลือกันในสิ่งที่เป็นคุณธรรม และความยำเกรง ...” (ซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ : 5)

อิบน กะษีร อธิบายว่า “อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงบัญชาบ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์ ให้ร่วมมือกันในกระทำความดีทั้งหลาย ซึ่งนับได้ว่านับคุณธรรม (บิรร์) และทรงกำชับให้ละทิ้งความชั่ว ซึ่งถือเป็นความยำเกรง (ตักวา) พระองค์ยังได้ทรงห้ามมิให้สนับสนุนในความชั่ว การบาปและสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย”[8]            

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสเล่าคำวิงวอนของท่านนบีมูซาต่อพระองค์ไว้ว่า

 قال تعالى : "وَاجْعَل لِّي وَزِيرًا مِّنْ أَهْلِي ، هَارُونَ أَخِي ، اشْدُدْ بِهِ أَزْرِي ، وَأَشْرِكْهُ فِي أَمْرِي" (سورة طه : 29-32) 

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสไว้มีใจความว่า “... และทรงโปรดให้คนในครอบครัวของข้าพระองค์ เป็นผู้ช่วยแก่ข้าพระองค์ , ฮารูนพี่ชายของข้าพระองค์ , ได้โปรดให้เขาเพิ่มความแข็งแกร่งแก่ข้าพระองค์ด้วย , และให้เขามีส่วนร่วมในกิจการของข้าพระองค์ด้วยเถิด” ( ซูเราะฮฺตอฮา : 29-32)                 

ท่านนบีมุฮัมมัด ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม กล่าวว่า

 عَنْ سُلَيْمَانَ بْنِ بُرَيْدَةَ ، عَنْ أَبِيهِ ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ لِرَجُلٍ أَتَاهُ : "اذْهَبْ ؛ فَإِنَّ الدَّالَّ عَلَى الْخَيْرِ كَفَاعِلِهِ" (رواه أحمد في المسند) 

ความว่า รายงานจากท่านสุไลมาน อิบนุ บุรอยดะฮ์ จากบิดาของท่าน แท้จริงท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่มาหาท่านว่า “ท่านจงไปเถิด เพราะแท้จริงผู้ที่ชี้แนะผู้อื่นไปสู่ความดี ย่อมได้รางวัลตอบแทนเหมือนผู้ที่ทำความดีนั้น” (บันทึกโดยอะห์มัด ในหนังสืออัลมุสนัด)

[9] عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ، قَالَ : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : "مَنْ نَفَّسَ عَنْ مُؤْمِنٍ كُرْبَةً مِنْ كُرَبِ الدُّنْيَا ، نَفَّسَ اللَّهُ عَنْهُ كُرْبَةً مِنْ كُرَبِ يَوْمِ الْقِيَامَةِ ، وَمَنْ يَسَّرَ عَلَى مُعْسِرٍ ، يَسَّرَ اللَّهُ عَلَيْهِ فِي الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ ، وَمَنْ سَتَرَ مُسْلِمًا ، سَتَرَهُ اللَّهُ فِي الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ ، وَاللَّهُ فِي عَوْنِ الْعَبْدِ مَا كَانَ الْعَبْدُ فِي عَوْنِ أَخِيهِ ، وَمَنْ سَلَكَ طَرِيقًا يَلْتَمِسُ فِيهِ عِلْمًا ، سَهَّلَ اللَّهُ لَهُ بِهِ طَرِيقًا إِلَى الْجَنَّةِ ... " (رواه مسلم) 

รายงานจากท่านอบีฮุรอยเราะฮฺ กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดขจัดหนึ่งความทุกข์โศกจากบรรดาทุกข์โศกในดุนยาออกจาผู้ศรัทธาคนใด อัลลอฮฺย่อมทรงขจัดหนึ่งความทุกข์โศกจากบรรดาความทุกข์โศกออกไปจากเขาในวันกิยามะฮ์ และผู้ใดสร้างความสะดวกง่ายดายให้แก่ผู้ที่ยากลำบากคนหนึ่ง อัลลอฮฺจะทรงประทานความสะดวกง่ายดายแก่เขาในดุนยาและอาคิเราะฮฺ ผู้ใดปกปิดความบกพร่องของมุสลิม อัลลอฮฺย่อมทรงปกปิดความบกพร่องให้แก่เขาในดุนยาและอาคิเราะฮฺ อัลลอฮฺทรงอยู่ในการประทานความช่วยเหลือแก่บ่าวคนหนึ่ง ตราบใดที่บ่าวคนหนึ่งได้ให้ความช่วยเหลือแก่พี่น้องของเขา ผู้ใดออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้หนึ่ง อัลลอฮฺย่อมทรงประทานทานความง่ายดายแก่เขาในเส้นทางสู่สวนสวรรค์ ...”
(บันทึกโดยมุสลิม)[10] 

การประยุกต์ใช้หลักมุอาว่ะนะฮ์ (การร่วมมือกันในสิ่งที่เป็นความดี) ในการนิเทศการศึกษา                    

การประยุกต์ใช้หลักมุอาว่ะนะฮ์ (การร่วมมือกันในสิ่งที่เป็นความดี) ในการนิเทศการศึกษา สามารถนำมาใช้ได้ในทุกกระบวนการของการนิเทศการศึกษา ตั้งแต่กระบวนการศึกษาสภาพปัญหา กระบวนวางแผน ได้แก่การร่วมกันคิด ร่วมกันจัดทำตารางงาน ร่วมกันจัดทำโครงการ การคาดคะเนแผนงาน และการปรับปรุงแผนงานให้ดีขึ้น กระบวนการดำเนินการให้ไปสู่การปฏิบัติ กระบวนการประเมินผล แก้ไข ปรับปรุงและพัฒนา เมื่อใดที่ได้นำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา จนกระทั่งได้กลายเป็นวัฒนธรรมภายในสถานศึกษาแล้ว จะเป็นสาเหตุปัจจัยผลักดันให้การนิเทศการศึกษาและงานอื่นๆ ของสถานศึกษาไปสู่ความสำเร็จ และบรรลุเป้าหมายของการนิเทศ ซึ่งนั่นก็คือคุณภาพของผู้เรียนนั่นเอง 

บทสรุป               

การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญในการบริหารการศึกษา เพราะเป็นเรื่องของการพัฒนามนุษย์ ซึ่งหมายถึง ผู้สอนและผู้เรียน ให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้ ฉะนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นต้องจัดให้มีการนิเทศการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ซึ่งการที่จะทำให้การนิเทศการศึกษามีคุณภาพและบรรลุถึงเป้าหมายที่ได้วางไว้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเอาหลักการทั้ง 4 ประการมาสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งได้แก่ 

1) หลักตะฟักกุด (ติดตามสอดส่อง) 
2) หลักชูรอ (ประชุมปรึกษาหารือ) 
3) หลักนะศีหะฮ์ (ตักเตือนกันอย่างกัลยาณมิตร) 
4. หลักมุอาว่ะนะฮ์ (การร่วมมือกันในสิ่งที่เป็นความดี) 

โดยให้นำมาใช้ในทุกกระบวนการของการนิเทศการศึกษา โดยผู้บริหารสถานศึกษาและผู้รับผิดชอบทุกฝ่ายจะต้องผลักดันและส่งเสริมให้ทั้ง 4 ประการนี้บังเกิดผลเป็นรูปธรรม ด้วยการพยายามอย่างจริงจนกระทั่งได้กลายเป็นวัฒนธรรมของสถานศึกษา 


  [1] https://www.hadithportal.com/   [2] ผู้รายงานฮะดีษจากท่านอนัส   [3] https://www.hadithportal.com/[4] https://www.alukah.net/sharia/0/56382/   [5] http://quran.ksu.edu.sa/tafseer/tabary/sura7-aya62.html   [6] https://www.hadithportal.com/   [7] https://www.hadithportal.com/   [8] https://quran.ksu.edu.sa/tafseer/katheer/sura5-aya2.html   [9] https://www.hadithportal.com/   [10] https://www.hadithportal.com/   


บรรณานุกรม ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ.  (2556).  การบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน.  พิมพ์ครั้งที่ 1.  กรุงเทพมหานคร :  มหาวิทยาลัยรามคำแหง. นูรีนา บือราเฮง. (2552). ความสัมพันธ์ระหว่างการนิเทศภายในโรงเรียนกับพฤติกรรมการสอน ของครูอิสลามศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานราธิวาส. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. นิเลาะ แวอุเซ็ง. (2559). การจัดการการศึกษาในอิสลาม แนวคิดสู่การปฏิบัติ. ปัตตานี : วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. วรรณพร สุขอนันต์. (2550). รูปแบบการนิเทศภายในสำหรับสถานศึกษาขนาดเล็ก. ดุษฎีนิพนธ์ปริญญา ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, สาขาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิยาลัยศิลปากร. สาย นพเทาว์. (2554). ศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะการนิเทศภายในตามความคิดเห็นของครูและ ผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฉะเชิงเทราเขต 2. วิทยานิพนธ์ปริญญา
ครุศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์. โสภณ ทองจิตร. (2554). การปฏิบัติงานตามกระบวนการนิเทศการศึกษาภายในของผู้นิเทศ การศึกษาในโรงเรียนเครือข่ายบางกุ้ง จังหวัดสุราษฎร์ธานี. ภาคนิพนธ์ปริญญาคุรุศาสตร์มหาบัณฑิต. สาขาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี. เว็ปไซต์ https://www.almaany.com/ https://www.alukah.net/ https://www.dorar.net/ https://www.hadithportal.com/ https://quran.ksu.edu.sa/