1 นาทีในการอ่าน
คุตบะฮ์ : จงดีใจและภูมิใจที่เกิดมาเป็นมุสลิม

โดย มุฮัมมัดอาดัม (เสรี) พวงมณี

พี่น้องผู้ศรัทธาที่มีเกียรติทุกท่านครับ เราทุกคนต้องขอบคุณ (ชุกร์) อัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ทรงประทานชีวิตให้เรา ให้เราได้เป็นมุสลิม มีศรัทธาในอิสลาม โดยยึดถือเอาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิต เรารับประทาน เราดื่ม เราหลับนอน เราประพฤติตนตามแนวทางของท่านนบีมุฮัมมัด ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่วะซั่ลลัม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความโปรดปรานอันยิ่งหญ่ของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ทรงประทานแก่เรา ซึ่งนอกจากเราจะต้องขอบคุณ (ชุกร์) ต่อพระองค์แล้ว เรายังจะต้องแสดงออกถึงความดีใจและภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นมุสลิมอีกด้วย

อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสไว้ความว่า 

“จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด) ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮฺ และด้วยความเมตตาของพระองค์ ดังกล่าวนั้นพวกเขาจงดีใจเถิด ซึ่งมันดียิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาสะสมไว้” (ซูเราะฮ์ยูนุส : 58) 

ตัฟซีรอัฏฏอบรีย์ ได้อธิบายว่า “ความโปรดปรานของอัลลอฮฺ” ในที่นี้ คือศาสนาอิสลาม และคำว่า “ความเมตตาของพระองค์” หมายถึง อัลกุรอาน ตลอดจนแนวทํางการดำเนินชีวิตของท่านนบีมุฮัมมัด ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่วะซั่ลลัม กันอย่างจริงจังมากน้อยเพียงใด

อัลฮัมดุลิ่ลลาฮฺ พี่น้องมุสลิมของเราในปัจจุบันได้ให้ความสนใจในหลักธรรมคำสอนของศาสนามากขึ้น ศึกษาและใฝ่เรียนรู้อิสลามกันมากขึ้น เอาใจใส่และรับผิดชอบหน้าที่ที่พึงถวายแด่อัลลอฮฺ ตะอาลา และหน้าที่อันพึงปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่งต่างๆ กันมากขึ้น แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า ยังมีพี่น้องมุสลิมของเราจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ยังไม่แสดงออกซึ่งความดีใจและภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นมุสลิม ยังไม่รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจที่มีคัมภีร์อัลกุรอานและแบบอย่าง (ซุนนะฮฺ) ของท่านนบีเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเลย อาจจะมีใครบางคนที่ยืนยันว่า ฉันนี่แหละที่ได้แสดงออกเช่นนั้นแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ต้องย้อนถามตนเองอีกด้วยว่า เขาได้แสดงออกอย่างถูกต้อง เหมาะสม จริงจัง และจริงใจแล้วหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่ทุกวันนี้เราจะพบว่า ยังมีมุสลิมบางคนที่ขาดการเรียนรู้อิสลาม ไม่สนใจไยดีที่จะสนับสนุนบุตรหลานให้เรียนรู้อิสลาม ไม่เห็นความสำคัญของการละหมาด ไม่ย้ำเตือนลูกหลานให้ละหมาด ลูกหลานเรียนวิชาการสามัญไปได้ไม่ถึงไหน วิชาการศาสนาไม่รู้เรื่อง สมาชิกภายในบ้านได้ยินเสียงอะซานเป็นเพียงแค่ความเคยชินอย่างหนึ่ง ที่เมื่อดังขึ้นแล้ว เดี๋ยวก็เงียบไปเอง ลูกหลานจะหลับนอนดึกดื่นป่านไหนไม่สนใจว่ากล่าวตักเตือน กี่เช้ามาแล้ว กี่เดือน กี่ปีมาแล้ว ที่เด็กๆ ตื่นนอนสาย ขาดละหมาดโดยพ่อแม่ ผู้ปกครองไม่เรียก ไม่ปลุก ไม่ยอมตักเตือน เด็กดูนาฬิกาไม่เป็น แบ่งเวลาไม่ถูก ผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวไม่เคยพร่ำสอน เด็กขาดวินัย ขาดความรับผิดชอบ ความผิดอยู่ที่ใคร มันไม่ใช่เพียงแค่คำว่า “ใช้ลูกให้ละหมาด” “ใช้ลูกให้อ่านอัลกุรอาน” “ใช้ลูกให้ทำดี” แต่เราต้องเปลี่ยนใหม่ว่า “ชวนลูกไปละหมาด” “ชวนลูกอ่านอัลกุรอาน” และ “ชวนลูกทำดี” น่าสงสารเด็กมุสลิมของเราจำนวนมากมายเหล่านั้นที่ขาดแคลนแบบอย่างอันถูกต้องดีงามจากพ่อจากแม่ และจากผู้ปกครอง ท่านนบีมุฮัมมัด ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่วะซั่ลลัมกล่าวว่า

รายงานจากท่านอิบนิ อับบาส ร่อฎิยั่ลลอฮู่อันฮู่มา กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่วะซั่ลลัม กล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงเมตตาผู้ที่รักษาลิ้นของเขา รู้จักแบ่งเวลาของเขา และวิถีทํางการดำเนินชีวิตของเขาถูกต้องมั่นคงในศาสนา” (บันทึกโดยอัดดัยละมีย์)

รายงานจากท่านอิบนิ อบี เอาฟา กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่วะซั่ลลัม กล่าวว่า “แน่แท้บ่าวที่เลอเลิศที่ได้รับการคัดสรรจํากอัลลอฮฺคือบรรดาผู้ที่ให้ควํามสนใจเฝ้ามองดูดวงตะวัน ดวงจันทร์ ดวงดาว และความมืดมิดต่างๆ เพื่อทำการรำลึกถึงอัลลอฮฺ” (บันทึกโดยอัลฮากิมในหนังสืออัลมุสตัดร็อก)

จากคำสอนของอัลกุรอานและอัลฮะดีษข้างต้น เราสามารถกล่าวได้ว่า

1. มุสลิมทุกคนต้องขอบคุณ (ชุกร์) ต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ได้เกิดมาเป็นมุสลิม ดีใจและภูมิใจที่มีศาสนาอิสลามและคัมภีร์อัลกุรอานเป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิต

2. เพื่อให้ได้รับความเมตตาจากอัลลอฮฺ ตะอาลา เราจะต้องรักษาคำพูดคำจาของเรา มุสลิมจะพูดในสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ตักเตือนบุตรหลานและผู้อื่นให้ทำดีและออกห่างจากความชั่ว มุสลิมต้องรู้จักแบ่งเวลา มีวินัยทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ประพฤติตนอยู่ในครรลองของศาสนาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เพื่อเป็นแบบอย่ํางแก่บุตรหลานและผู้อื่น

3. หากเราต้องการได้รับความรักและเป็นบุคคลพิเศษของอัลลอฮฺ ตะอาลา เราจะต้องจดจ่อและสนใจอยู่กับการรำลึกถึงพระองค์ ด้วยการละหมาดอ่านอัลกุรอาน และทำดีในรูปแบบต่างๆ อยู่เสมอ