
บทสัมภาษณ์นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง Avi Shlaim ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของอังกฤษในปฏิญญาบัลโฟร์ปี 1917 โดย เมอร์ซีฮา กัดโซ (Mersiha Gadzo)
ปฏิญญาบัลโฟร์มีความยาวเพียง 67 คำเท่านั้น แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ในปัจจุบันถูกมองว่าเป็นความขัดแย้งที่แก้ไขได้ยากที่สุดในโลก ข้อพิพาทระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ยังคงเป็นวิกฤตที่ยืดเยื้อในภูมิภาคตะวันออกกลาง แม้จะผ่านมากว่า 100 ปีนับตั้งแต่มีการลงนามในปฏิญญานี้เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917
อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ Arthur Balfour ได้ออกเอกสารนี้ถึง Lord Walter Rothschild ผู้นำไซออนนิสต์ชาวอังกฤษ เพื่อประกาศการสนับสนุนการจัดตั้ง “บ้านแห่งชาติสำหรับชาวยิว” ในดินแดนปาเลสไตน์ ในขณะนั้น ปาเลสไตน์ยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน และมีประชากรชาวยิวเป็นชนกลุ่มน้อยเพียง 9 เปอร์เซ็นต์

Al Jazeera ได้สัมภาษณ์ Avi Shlaim นักประวัติศาสตร์และศาสตราจารย์กิตติคุณด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด เกี่ยวกับแรงจูงใจเบื้องหลังเอกสารที่ส่งผลอย่างลึกซึ้งนี้ และผลกระทบที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
Al Jazeera: มีหลายปัจจัยที่นำไปสู่การออกปฏิญญาบัลโฟร์ (Balfour Declaration) —ทั้งจากขบวนการไซออนนิสต์ (Zionist), ความเชื่อแบบอีเวนเจลิคัล (Evangelical), ลัทธิล่าอาณานิคม (colonial) และแม้แต่การต่อต้านชาวยิว (anti-Semitism) จากรัฐบาลอังกฤษ คุณคิดว่าแรงจูงใจหลักเบื้องหลังปฏิญญานี้คืออะไร?
Avi Shlaim: แนวคิดที่ผมยึดถือคือแนวคิดแบบจักรวรรดินิยม ตามแนวคิดนี้ ปฏิญญาบัลโฟร์เกิดจากการพิจารณาเชิงจักรวรรดิและผลประโยชน์ของอังกฤษเอง ในปี 1917 อังกฤษกำลังเผชิญกับสงครามที่ยากลำบาก และยังไม่สามารถเอาชนะได้ จึงจำเป็นต้องหาพันธมิตรอย่างเร่งด่วน—และเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากขบวนการไซออนนิสต์ อังกฤษจึงออกแถลงการณ์สนับสนุนการจัดตั้งบ้านแห่งชาติสำหรับชาวยิวในปาเลสไตน์
[อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด ลอยด์ จอร์จ] มีความเข้าใจที่เกินจริงเกี่ยวกับอำนาจและอิทธิพลของชาวยิว เขาเชื่อว่าชาวยิวมีอำนาจลับทั่วโลก และเป็นผู้ขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้น หากอังกฤษแสดงท่าทีสนับสนุนโครงการนี้ อังกฤษก็จะได้พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ แต่ทัศนะเกี่ยวกับอำนาจของชาวยิวนี้เป็นความเข้าใจผิด เพราะในความเป็นจริง ชาวยิวเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่มีอำนาจ และขบวนการไซออนนิสต์ก็เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยภายในกลุ่มน้อยนั้นอีกที
Al Jazeera: ในปฏิญญานั้น พวกเขาสัญญาว่าจะคุ้มครอง “สิทธิพลเมืองและสิทธิทางศาสนาของชุมชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในปาเลสไตน์” แต่กลับไม่มีการกล่าวถึงสิทธิทางการเมืองเลย แล้วเหตุใดพวกเขาจึงมอบสิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง (national self-determination) ให้แก่ชาวยิว—ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในปาเลสไตน์ที่มีประชากรเพียง 9 เปอร์เซ็นต์ในขณะนั้น—ในขณะที่ปฏิเสธสิทธินั้นแก่คนส่วนใหญ่?
Shlaim: สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไร้เหตุผลของปฏิญญาบัลโฟร์ ที่ปฏิเสธสิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเองแก่คนส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับมอบสิทธินั้นให้แก่ชนกลุ่มน้อยเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ Arthur Balfour รู้ดีว่าปฏิญญาของเขาขัดแย้งกับหลักการของการกำหนดอนาคตแห่งชาติ (national self-determination) กล่าวโดยสรุป ปฏิญญาบัลโฟร์คือเอกสารเชิงอาณานิคมแบบคลาสสิก ที่ละเลยสิทธิและความใฝ่ฝันของประชาชนในประเทศอย่างสิ้นเชิง
อังกฤษไม่มีสิทธิ์ทางศีลธรรมหรือกฎหมายในการให้คำมั่นว่าจะมอบปาเลสไตน์ให้แก่ชาวยิวในฐานะบ้านแห่งชาติ แนวคิดเรื่อง “บ้านแห่งชาติ” ไม่ปรากฏอยู่ในกฎหมายระหว่างประเทศ และนักเขียนชาวยิวคนหนึ่งชื่อ อาร์เธอร์ เคิสต์เลอร์ (Arthur Koestler) ได้สรุปไว้ว่า: ประเทศหนึ่ง—อังกฤษ—ให้คำมั่นว่าจะมอบแผ่นดินของประชาชนกลุ่มหนึ่ง—ชาวปาเลสไตน์—แก่ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง—ชาวยิว
Al Jazeera: ปฏิญญานี้มีความสำคัญอย่างมาก แต่ถ้อยคำที่ใช้กลับคลุมเครืออย่างที่สุด พวกเขาเลือกใช้คำว่า “บ้านแห่งชาติสำหรับชาวยิว” แทนที่จะใช้คำว่า “รัฐ” แล้วแท้จริงแล้ว วิสัยทัศน์ของพวกเขาต่อปาเลสไตน์คืออะไร?
Shlaim: ขบวนการไซออนนิสต์เป็นกลุ่มคนเล็ก ๆ แต่มีบทบาทในการล็อบบี้อย่างมีประสิทธิภาพในอังกฤษ … ฟังดูอาจแปลก แต่ร่างปฏิญญาฉบับแรกซึ่งได้กลายมาเป็นปฏิญญาบัลโฟร์ในภายหลังนั้น ถูกเสนอโดย ดร.ไคม ไวซ์มันน์ (Dr Chaim Weizmann) ผู้นำไซออนนิสต์ชาวอังกฤษเอง และร่างฉบับนั้นนั้นเผยให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของขบวนการไซออนนิสต์อย่างชัดเจน
ร่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ไซออนนิสต์ต้องการไม่ใช่แค่ “บ้านแห่งชาติ” แต่คือ “รัฐ” โดยใช้ถ้อยคำว่า “การจัดตั้งปาเลสไตน์ขึ้นใหม่ในฐานะเครือรัฐของชาวยิว” กล่าวคือ ไม่ใช่การรักษาปาเลสไตน์ไว้ในฐานะประเทศอาหรับที่มีบ้านแห่งชาติสำหรับชาวยิวอยู่ภายใน แต่เป็นการจัดระเบียบใหม่ทั้งประเทศให้กลายเป็นเครือรัฐของชาวยิว ต่อมาในร่างที่แก้ไขโดยคณะรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ถ้อยคำ “เครือรัฐของชาวยิว” ถูกลดระดับลงเหลือเพียง “บ้านแห่งชาติสำหรับชาวยิวในปาเลสไตน์”
ทว่า ตั้งแต่ต้น จุดมุ่งหมายสูงสุดของขบวนการไซออนนิสต์คือการจัดตั้งรัฐเอกราชอย่างเต็มรูปแบบในพื้นที่ของปาเลสไตน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ … ทั้งเดวิด ลอยด์ จอร์จ, อาร์เธอร์ บัลโฟร์ และรัฐมนตรีอาณานิคม วินสตัน เชอร์ชิล ต่างก็ยอมรับในภายหลังว่า ตั้งแต่ต้น พวกเขาเข้าใจดีว่า “บ้านแห่งชาติ” หมายถึง “รัฐของชาวยิว”
Al Jazeera: คุณเป็นหนึ่งในผู้ลงชื่อร่วมกับอีกกว่า 13,000 คนในคำร้องออนไลน์ที่เรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษขอโทษต่อปฏิญญาบัลโฟร์ ผลตอบรับเป็นอย่างไร และรัฐบาลอังกฤษในปัจจุบันมองปฏิญญานี้อย่างไร?
Shlaim: กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้ออกคำตอบอย่างละเอียดต่อคำร้องของเรา โดยปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้งหมด พวกเขาระบุว่าอังกฤษไม่มีอะไรต้องขอโทษ—ตรงกันข้าม อังกฤษภูมิใจในบทบาทที่ตนมีในการช่วยให้ชาวยิวสามารถจัดตั้งรัฐของตนเองในปาเลสไตน์ได้ ดังนั้น รัฐบาลอังกฤษในปัจจุบันจึงไม่มีท่าทีสำนึกผิดใด ๆ เลย
สำหรับผมเอง รัฐบาลอังกฤษไม่มีอะไรที่ควรภาคภูมิใจเลย ปฏิญญาบัลโฟร์เป็นท่าทีที่น่าละอายและน่าประณามอย่างยิ่ง และรัฐบาลอังกฤษควรก้มหน้าด้วยความละอาย
บทบาทของอังกฤษไม่ได้สิ้นสุดลงเพียงแค่การออกปฏิญญานี้ … สิ่งที่เคยเป็นคำมั่นสัญญาจากอังกฤษต่อขบวนการไซออนนิสต์ กลับกลายเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ โดยอังกฤษได้รับมอบหมายให้ดูแลปาเลสไตน์ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “พันธกิจอารยธรรมอันศักดิ์สิทธิ์” (sacred trust of civilization) ซึ่งหมายถึงการเตรียมประเทศให้พร้อมสำหรับการเป็นอิสระ การเตรียมประเทศให้เป็นอิสระนั้นหมายถึงการมีประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง และมีสถาบันตัวแทนของประชาชน
แต่อังกฤษกลับปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้งหมดของชาวปาเลสไตน์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง การจัดตั้งสภาแห่งชาติ หรือคณะบริหารแห่งชาติ นโยบายหลักของอังกฤษในช่วงที่ปกครองปาเลสไตน์คือการป้องกันไม่ให้เกิดสถาบันตัวแทนประชาชน จนกว่าชาวยิวจะกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ ดังนั้น อังกฤษจึงขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย ตราบใดที่ชาวอาหรับยังเป็นประชากรส่วนใหญ่
มีสุภาษิตอาหรับบทหนึ่งกล่าวว่า: “สิ่งใดที่เริ่มต้นอย่างบิดเบี้ยว ก็จะบิดเบี้ยวต่อไป” — และสิ่งนี้ก็เป็นจริงสำหรับนโยบายของอังกฤษที่มีต่อปาเลสไตน์ นับตั้งแต่ปี 1917 นโยบายของอังกฤษได้เริ่มต้นด้วยความบิดเบี้ยวและไม่ซื่อสัตย์ และแม้แต่ในปัจจุบัน นโยบายของอังกฤษต่อปาเลสไตน์ก็ยังคงบิดเบี้ยวและเข้าข้างฝ่ายเดียว
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมองว่าปฏิญญาบัลโฟร์เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่เปิดทางให้ชนกลุ่มน้อยอย่างขบวนการไซออนนิสต์เริ่มเข้ายึดครองประเทศอย่างเป็นระบบ ปฏิญญาบัลโฟร์ได้ปูทางไปสู่การจัดตั้งรัฐอิสราเอลในปี 1948 และการกวาดล้างชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการก่อตั้งรัฐนั้น
ในส่วนที่สองของปฏิญญาบัลโฟร์มีเงื่อนไขว่า การจัดตั้งบ้านแห่งชาติสำหรับชาวยิวจะต้องไม่กระทบต่อสิทธิทางศาสนาและสิทธิพลเมืองของชาวอาหรับ แต่อังกฤษกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อนี้ ดังนั้น ประวัติศาสตร์ของอังกฤษที่มีต่อปาเลสไตน์จึงน่าละอายอย่างที่สุด
บทสัมภาษณ์นี้ได้รับการตัดทอนความยาวเพื่อความกระชับ
แปลโดย มุฮัมมัดอาดัม อิบนุ อับดุลฮาลีม อันนัดวีย์ (เสรี พวงมณี)
ดาวน์โหลดไฟล์ Pdf บัลโฟร์.pdf
แปลจาก https://www.aljazeera.com/news/2017/10/29/balfour-uk-government-should-hang-its-head-in-shame/