อิสลามเป็นระบอบแห่งการดำเนินชีวิต อิสลามห้ามการกระทำหรือพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ด้วยเหตุนี้อิสลามจึงถือว่าการนินทา (ฆีบะฮ์) นั้นเป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม) และเป็นบาปใหญ่ ซึ่งจะส่งผลเสียแก่ผู้ที่นินทาและสังคม เพราะการนินทาเปรียบเสมือนการกินเนื้อของพี่น้องมุสลิมที่ตายไปแล้ว การนินทาเลวร้ายยิ่งกว่าการซินา นำมาซึ่งความจงเกลียดจงชัง หรือมองกันในแง่ร้าย เมื่อใดที่การนินทาเกิดขึ้น ความสมานฉันท์ในสังคมจะค่อยๆ หมดไป บางครั้งผู้ที่นินทา (ฆีบะฮ์) กระทำการนินทาไปก็เพราะความอิจฉา (ฮะซัด) ผู้อื่น หรือคิดว่าตนเองนั้นดีกว่า (อุญุบ) ผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ การนินทาของเขาจะส่งผลเสียแก่เขา เพราะมันจะทำลายล้างอะมั้ลความดีต่างๆ ที่เขาได้เคยพากเพียรไว้ให้สูญสิ้นไป
ในวันกิยามะฮ์ ผู้ที่เคยนินทาผู้อื่นจะต้องประสบกับความหายนะ เขาจะเป็นผู้ที่ขาดทุนล้มละลาย ความดีของเขาจะถูกมอบไปให้แก่ผู้ที่เขาเคยนินทา หากเขาเคยนินทาผู้อื่นไว้มาก ความดีที่เขาเคยเพียรพยายามไว้ไม่พอที่จะชดใช้หนี้กรรมนี้ได้ อัลลอฮ์ ตะอาลา ให้ให้นำเอาบาปที่ผู้ที่ถูกเขานินทานั้นมามอบให้แก่เขา เท่ากับว่า เขารับบาปกรรมความชั่วของเขาเองก็มากพออยุ่แล้ว หนำซ้ำเขายังต้องแบกรับบาปกรรมของผู้อื่นอีกด้วย แบบนี้ที่ท่านนบี ศ็อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม บอกว่าเขาคือ “คนล้มละลาย”
อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสมีใจความว่า
มีฮะดีษระบุว่า
มีฮะดีษระบุอีกว่า
สรุปบทเรียน
1. การนินทา (ฆีบะฮ์) คือการพูดถึงพี่น้องในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ซึ่งเป็นบาปและส่งผลเสียต่อสังคม ทั้งความเสียหายทางจิตใจและความสัมพันธ์ในชุมชน
2. ถ้าสิ่งที่พูดเป็นความจริง ก็เท่ากับนินทา หากไม่เป็นความจริง ก็เท่ากับใส่ร้าย เป็นการละเมิดเกียรติของผู้อื่น
3. การนินทาเป็นบาปร้ายแรงในอิสลามและเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ซึ่งทำลายความสมานฉันท์ในสังคมและเกิดความเกลียดชัง
4. วันกิยามะฮ์ ผู้ที่นินทาจะได้รับผลกรรม เป็นการสูญเสียความดีและรับบาปจากผู้อื่นด้วย หากมีความดีน้อยจะต้องแบกรับบาปของผู้อื่นไว้
5. ผู้ที่ทุจริตต่อพี่น้องของเขา ในเรื่องเกียรติยศหรือสิ่งอื่นใด ควรขอภัยและชดเชยก่อนวันกิยามะฮ์