ระบอบการดำเนินชีวิต ดีน แบบอิสลาม
อัลลอฮ์ ตะอาลา เป็นผู้ทรงสร้าง (อัลคอลิก) พระองค์เป็นผู้ทรงอภิบาล พระองค์ทรงเลี้ยงดู (อัรร็อบ) พระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่มนุษย์และทุกสรรพสิ่ง (อัรรอซซาก) พระองค์ทรงบริหารกิจการและปรากฏการณ์บนหน้าโลกนี้และในจักรวาลต่างๆ ด้วยพระองค์เอง (อัลมุดับบิร)
คำว่า “อิสลาม” หมายถึง การเข้าสู่ความสันติ หรืออีกนัยหนึ่ง หมายถึง การยอมจำนน ยอมสวามิภักดิ์ กล่าวคือ ยอมจำนน ยอมสวามิภักดิ์ ส่วนคำว่า “มุสลิม” หมายถึง ผู้ที่เข้ามาอยู่ในความสันติและใฝ่สันติ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผู้ที่ยอมสวามิภักดิ์ต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา กล่าวคือ หัวใจ ความคิด คำพูด และการกระทำของมุสลิมจะยอมสวามิภักดิ์ต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา เพียงพระองค์เดียว
ด้วยเหตุที่ว่า อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงประทานชีวิตและปัจจัยในการดำเนินชีวิตแก่มนุษย์ พระองค์ทรงรอบรู้ดีว่า สิ่งใดดีสำหรับมนุษย์ และสิ่งใดหรือการกระทำใดจะก่อโทษแก่มนุษย์ พระองค์จึงประทานระบอบการดำเนินชีวิต ดีน ในแบบอิสลาม มาเพื่อมวลบ่าวของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า
ความว่า “อิสลามได้เริ่มต้นอย่างคนแปลกหน้า และอิสลามจะกลับมาอย่างคนแปลกหน้า ดังนั้นขอความผาสุกจงมีแด่บรรดาคนแปลกหน้า” ในสายรายงานหนึ่งระบุว่า มีผู้ถามท่านนบี ศ็อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม ว่า ใครคือบรรดาคนแปลกหน้า ท่านตอบว่า “คือบรรดาผู้ที่ฟื้นฟูเมื่อบรรดาผู้คนตกอยู่ในความเสื่อมเสีย” และในสยรายงานหนึ่งกล่าวว่า “พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ฟื้นฟูสิ่งที่บรรดาผู้คนได้สร้างความเสียหายจากแบบอย่างคำสอนของข้าพเจ้า” (รายงานโดยมุสลิม หน้าหรือฮะดีษหมายเลข 145 ฮะดีษจากท่านอบีฮู่ร็อยเราะฮ์)
หนังสือสารุนุกรมฮะดีษ (อัลเมาซูอะฮ์ อัลฮะดีษียะฮ์) ได้อธิบายฮะดีษนี้ไว้ว่าอิสลามได้ปรากฎในโลก[1] ในสภาพที่สังคมเต็มไปด้วยความอธรรม (ซอลิม) การตั้งภาคี (ชิรก์) ต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา และความอวิชชา (ญะฮิลียะฮ์) เต็มไปทั่วผืนแผ่นดิน คำสอนของอิสลามที่ส่องประกายท่ามกลางสังคมที่มืดมิดนั้นจึงถูกมองเป็นเรื่องแปลก บรรดาบรรพชนผู้ศรัทธาในยุคแรกจึงต้องเผชิญกับบททดสอบนานัปการ จวบจนกระทั่งอิสลามได้แพร่หลายและปรากฎตัวอย่างเด่นชัด ในฮะดีษนี้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม ได้อธิบายว่า อิสลามได้เริ่มต้นอย่างคนแปลกหน้า โดยที่อิสลามได้ปรากฎออกมาท่ามกลางสังคมที่โฉดเขลา อวิชชา[2] โดยมีจำนวนผู้ศรัทธาเพียงเล็กน้อย บุคคลเหล่านี้ได้ละทิ้งประเพณีที่งมงาย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในสังคมต่างมองว่าคนเหล่านี้เป็นคนแปลกหน้า หลังจากนั้น ท่านนบี ศ็อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม และบรรดาผู้ศรัทธา ได้อพยพจากนครมักกะฮ์ ไปยังนครมะดีนะฮ์ ในสภาพที่เป็นคนแปลกหน้า ต่อมาอัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ให้อิสลามแพร่กระจายออกไป มีคนเข้ารับอิสลามเป็นจำนวนมาก ต่อจากนั้นท่านนบี ศ็อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม ได้บอกว่า และอิสลามจะกลับมาอีกครั้งอย่างคนแปลกหน้า กล่าวคือ เมื่อมีคนรับนับถืออิสลามกันเป็นจำนวนมาก หลายคนได้ชื่อว่าเป็นมุสลิม ทว่าความอวิชชาหรือความโฉดเขลาได้แพร่หลายท่ามกลางหมู่พวกเขา เมื่อบรรดามุสลิมได้ย้อนคืนการดำเนินชีวิตแบบอิสลามอย่างจริงจัง พวกเขาจึงเปรียบได้ดั่งคนแปลกหน้า
ความท้าทาย
มุสลิมทุกคนล้วนต้องเผชิญกับความท้าทายท่ามกลางพหุวัฒนธรรมที่เขาจะต้องดำรงรักษาเอาไว้ซึ่งการศรัทธา (อีมาน) ต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา และดำเนินชีวิตตามครรลองศาสนา สอดคล้องกับแบบอย่างคำสอน (ซุนนะฮ์) ของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซัลลัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพสังคมโลกในปัจจุบันที่มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงสื่อโซเชียลมีเดียอันหลากหลายช่องทางที่มีอิทธิพลต่อวิธีคิด ความเชื่อ และค่านิยมในการดำเนินชีวิต จึงถือเป็นโจทย์สำคัญที่ประชาคม (อุมมะฮ์อิสลาม) จะต้องหาทางออกร่วมกัน
ถอดบทเรียน
1. อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียว มุสลิมจะต้องศรัทธา เชื่อมั่น และเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา เพียงพระองค์เดียว ด้วยการปฏิบัติตนตามพระบัญชาของพระองค์ และแบบอย่างคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่ว่ะซั่ลลัม
2. ดีน หรือ ระบอบการดำเนินชีวิตที่อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงพึงพระทัยและรับรองคือ ระบอบการดำเนินชีวิตแบบอิสลาม
3. มุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุสลิมในสังคมไทย ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางสังคมพหุวัฒนธรรม ทำอย่างไรจะรักษาวิถีชีวิตของตนเองไว้ได้อย่างมั่นคง และใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องร่วมชาติที่ต่างกันทางด้านวัฒนธรรมได้อย่างสงบสันติและยั่งยืน
[1] ในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด (ผู้แปล/ผู้เรียบเรียง)
[2] หมายถึงสังคมอาหรับในสมัยนั้น (ผู้แปล/ผู้เรียบเรียง)